Browse By

เด ลาฟวนเต้ โต้ฟลิควิจารณ์ฝืนใช้งานยามาล

เสียงของความขัดแย้งในวงการฟุตบอลยุโรปครั้งนี้ดังขึ้นจากปลายทางของสนามฝึกซ้อมทีมชาติสเปน เมื่อ หลุยส์ เด ลาฟวนเต้ ผู้จัดการทีมชาติ ต้องออกมาตอบโต้คำวิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนจาก ฮันซี่ ฟลิค อดีตกุนซือทีมชาติเยอรมนี ที่กล่าวหาว่าเขาฝืนใช้งาน ลามีน ยามาล ดาวรุ่งพุ่งแรงของบาร์เซโลนา ทั้งที่ยังไม่ฟื้นฟูสภาพร่างกายเต็มที่ เหตุการณ์นี้สะท้อนภาพซับซ้อนของการจัดการนักเตะดาวรุ่งในยุคที่ความคาดหวังสูงกว่าเดิมหลายเท่า และทุกการตัดสินใจของโค้ชล้วนมีแรงกดดันจากสื่อ สโมสร และแฟนบอลทั่วโลก ต้นตอของประเด็นนี้เริ่มจากการให้สัมภาษณ์ของฟลิคซึ่งพูดถึงการที่ยามาลถูกส่งลงสนามในเกมคัดบอลโลก 2026 ทั้งที่มีอาการไม่สมบูรณ์ โดยฟลิคกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “เด็กคนนี้ควรได้พัก เขาไม่จำเป็นต้องเล่นทุกเกม” พร้อมทั้งตั้งคำถามต่อระบบการดูแลนักเตะของทีมชาติสเปนว่ามีการประเมินอย่างรอบด้านหรือไม่ คำพูดนี้ไม่เพียงแต่จุดประกายการวิจารณ์จากสื่อเยอรมัน แต่ยังลุกลามไปยังวงการฟุตบอลยุโรปที่เริ่มตั้งคำถามว่า การเร่งใช้งานดาวรุ่งมากเกินไปเป็นการทำลายอนาคตของพวกเขาหรือไม่ เมื่อคำพูดดังกล่าวแพร่กระจายไปทั่ว เด ลา ฟวนเต้ ซึ่งเป็นคนที่ขึ้นชื่อในเรื่องวินัยและความรับผิดชอบต่อผู้เล่น ก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้ เขาออกมาให้สัมภาษณ์ตอบโต้ทันทีว่า “ผมไม่เคยเสี่ยงกับสุขภาพของนักเตะ และไม่เคยฝืนใช้งานใครที่ไม่พร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์ ทีมแพทย์ของเรามีมาตรฐานสูงสุด ทุกการตัดสินใจเกิดจากการประเมินอย่างรอบคอบ” คำพูดนี้สะท้อนถึงความภาคภูมิใจในระบบการทำงานของทีมชาติสเปนที่พยายามรักษามาตรฐานทางจริยธรรมและวิทยาศาสตร์กีฬาไว้ควบคู่กัน ลามีน ยามาล ในวัยเพียง 18

แอสตัน วิลล่า รอผลอาการบาดเจ็บของ เอมิเลียโน่ มาร์ตีเนซ

แอสตัน วิลล่า กำลังจับตารอผลการสแกนอาการบาดเจ็บของ เอมิเลียโน่ มาร์ตีเนซ อย่างใจจดใจจ่อ หลังจากที่นายด่านอาร์เจนตินาปรากฏอาการผิดปกติในช่วงวอร์มอัพก่อนแมตช์ยูโรปา ลีก ซึ่งสร้างความกังวลให้กับแฟนบอล วิลล่า และทีมแพทย์เป็นอย่างมาก ตามรายงานข่าว มาร์ตีเนซมีปัญหาที่น่อง (calf) และต้องถอนตัวก่อนเริ่มเกม ยูโรปา ลีก ซึ่งทีมได้ส่งตัวเข้ารับการสแกนทันที เพื่อตรวจสอบความรุนแรงของอาการบาดเจ็บนั้น ขณะที่โค้ชและทีมแพทย์ของวิลล่ายังไม่ยืนยันว่าเขาจะพร้อมลงสนามในนัดถัดไปหรือไม่ การตัดสินใจทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับผลสแกนและการประเมินทางการแพทย์อย่างละเอียด โค้ชอูไน เอเมรี ให้สัมภาษณ์ก่อนเกมพรีเมียร์ลีกนัดต่อไปว่า การสแกนมาร์ตีเนซถูกดำเนินการเมื่อช่วงก่อนการแถลงข่าวประมาณ 1 ชั่วโมง และขณะนั้นยังไม่มีผลยืนยันว่าเขาจะพร้อมลงเล่นหรือไม่ เขากล่าวว่า วิลล่าเตรียมแผนเผื่อไว้หลายทาง ไม่ว่าจะเป็นการส่งมาร์ตีเนซลงเฝ้าเสา หรือการพึ่งพาตัวสำรองอย่าง มาร์โก บิโซต์ ให้ลงทำหน้าที่แทน ซึ่งบิโซต์เคยโชว์ผลงานได้ดีในโอกาสที่ได้รับโอกาสเติมเต็ม การที่มาร์ตีเนซต้องถอนตัวในช่วงสุดท้ายก่อนการแข่งขันสร้างความกังวลให้กับแฟนบอลว่าอาการบาดเจ็บอาจหนักกว่าที่คาดไว้ เพราะในฤดูกาลที่ผ่านมา เขาแทบไม่ได้มีประวัติการบาดเจ็บที่สำคัญ แต่การที่มีปัญหาในช่วงต้นฤดูกาลเช่นนี้ ก็อาจกระทบต่อจังหวะและความมั่นใจของผู้รักษาประตูตัวหลัก มาร์ตีเนซ ถือเป็นกำลังสำคัญของแอสตัน วิลล่า ทั้งในแง่ประสบการณ์และความน่าเชื่อถือในเกมรับ

แอนจ์ พอสเตโคกลู ไม่หวั่นแรงกดดันในตำแหน่งกุนซือ

แอนจ์ พอสเตโคกลู กุนซือชาวออสเตรเลียของสโมสรน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ออกมาแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า แรงกดดันใด ๆ ที่มีต่อเขาในตอนนี้จะไม่สามารถสั่นคลอนความมั่นใจหรือทัศนคติในการทำงานได้เลย แม้ว่าผลงานของทีมในช่วงออกสตาร์ทฤดูกาลจะยังไม่เป็นไปตามที่แฟนบอลคาดหวัง และเสียงวิจารณ์จากหลายฝ่ายเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ เกี่ยวกับอนาคตของเขาในถิ่นซิตี้กราวด์ก็ตาม พอสเตโคกลูให้สัมภาษณ์หลังเกมที่ทีมทำได้เพียงเสมอในบ้านว่า เขาไม่รู้สึกว่าความกดดันใด ๆ จะส่งผลกับวิธีการทำงานของตน เพราะเขาเชื่อมั่นในกระบวนการสร้างทีมและการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมากกว่าผลลัพธ์ระยะสั้น เขากล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจว่า “ผมไม่เคยสนใจว่าใครจะพูดอะไร แรงกดดันมันเป็นส่วนหนึ่งของงานนี้อยู่แล้ว ถ้าผมกลัวแรงกดดัน ผมคงไม่มานั่งตรงนี้” กุนซือวัย 59 ปีรายนี้มีชื่อเสียงจากการทำทีมที่กล้าเปิดเกมรุก เล่นฟุตบอลที่มีเอกลักษณ์ และเน้นการครองบอล แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงระบบและสไตล์การเล่นในสโมสรอย่างฟอเรสต์ที่มีผู้เล่นหลายชาติ หลายวัฒนธรรม ย่อมต้องใช้เวลาและความอดทน ซึ่งเขาย้ำว่าไม่สามารถตัดสินผลงานได้เพียงไม่กี่นัดเท่านั้น แม้ผลการแข่งขันในช่วงต้นฤดูกาลจะไม่สู้ดี ฟอเรสต์ยังไม่สามารถเก็บชัยชนะได้ในพรีเมียร์ลีก และผลงานในถ้วยยุโรปก็ดูไม่แน่นอน แต่พอสเตโคกลูยังคงยืนยันว่าแนวทางของเขาเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และต้องเดินหน้าต่อไปโดยไม่เปลี่ยนปรัชญา เขาเน้นว่าการสร้างทีมให้มีอัตลักษณ์ในสนามสำคัญกว่าการไล่ล่าคะแนนแบบไร้ทิศทาง สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาได้รับการยกย่องในวงการลูกหนัง คือทัศนคติที่ไม่ยอมแพ้ เขาเคยผ่านสถานการณ์ที่กดดันยิ่งกว่านี้มาแล้ว ทั้งสมัยคุมทีมในญี่ปุ่นกับโยโกฮาม่า เอฟ มารินอส และตอนอยู่กับท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์

ไม่มีความคืบหน้าอาการเจ็บของ โคล พาลเมอร์

สถานการณ์ของ โคล พาลเมอร์ มิดฟิลด์ดาวรุ่งของสโมสรเชลซี ยังคงเป็นที่น่ากังวลในหมู่แฟนบอล หลังจากล่าสุดมีรายงานยืนยันจากสโมสรว่า “ยังไม่มีความคืบหน้า” เกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของเจ้าตัว แม้จะผ่านมาหลายสัปดาห์แล้วก็ตาม ซึ่งทำให้แฟนบอลหลายคนเริ่มตั้งคำถามถึงความรุนแรงของอาการจริง ๆ และโอกาสที่เขาจะกลับมาช่วยทีมได้ทันในช่วงสำคัญของฤดูกาลนี้ พาลเมอร์ได้รับบาดเจ็บบริเวณข้อเท้าขวาในเกมพรีเมียร์ลีกเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นจังหวะที่เขาพยายามเข้าแย่งบอลกับคู่แข่งแล้วเกิดการพลิกของข้อเท้า แม้เจ้าตัวจะพยายามฝืนเล่นต่อในช่วงสั้น ๆ แต่สุดท้ายต้องถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม และหลังเกม เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ กุนซือของเชลซี ก็ออกมาเปิดเผยว่า “มันดูไม่หนักมากในตอนแรก แต่เราต้องรอดูอาการอีกทีในอีกไม่กี่วัน” อย่างไรก็ตาม เวลาผ่านไปเกือบสามสัปดาห์ ทีมแพทย์ของเชลซียังไม่สามารถระบุวันคืนสนามที่ชัดเจนของพาลเมอร์ได้ ความล่าช้านี้สร้างความกังวลให้กับแฟนบอลเชลซีอย่างมาก เพราะพาลเมอร์ถือเป็นนักเตะคนสำคัญที่สุดของทีมในฤดูกาลนี้ เขาเป็นทั้งผู้ทำประตูสูงสุดและผู้เล่นที่มีส่วนร่วมกับการสร้างสรรค์เกมรุกมากที่สุดของสโมสร นับตั้งแต่ย้ายจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาร่วมทีมด้วยค่าตัวประมาณ 45 ล้านปอนด์เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ดาวรุ่งวัย 22 ปีรายนี้กลายเป็นความหวังใหม่ของทีมในยุคเปลี่ยนผ่านที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ในช่วงที่เขาบาดเจ็บ เชลซีดูเหมือนจะขาดความเฉียบคมในแดนหน้าอย่างเห็นได้ชัด เกมรุกที่เคยขับเคลื่อนได้อย่างมั่นใจเริ่มขาดความสมดุล และจังหวะการเล่นดูช้าลงอย่างน่ากังวล โดยเฉพาะในเกมพรีเมียร์ลีกนัดล่าสุดที่เชลซีพลาดท่าพ่ายให้กับคู่แข่งจากกลางตาราง แม้จะครองบอลได้มากกว่าแต่กลับไม่สามารถเปลี่ยนโอกาสเป็นประตูได้ ซึ่งสถิติก็สะท้อนอย่างชัดเจนว่า

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โหมโรงก่อนเยือน เบรนท์ฟอร์ด ว่าผู้เล่นไม่มีใครเดี้ยง

ก่อนเกมพรีเมียร์ลีกนัดสำคัญระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ เบรนท์ฟอร์ด ที่กำลังจะมีขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์นี้ บรรยากาศในแคมป์ของ “เรือใบสีฟ้า” เต็มไปด้วยพลังบวกและความมั่นใจอย่างสูง หลังจาก เป๊ป กวาร์ดิโอลา ผู้จัดการทีมชาวสเปนออกมาให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า ขณะนี้นักเตะทุกคนในทีมพร้อมลงสนาม ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ และทุกคนอยู่ในสภาพร่างกายที่สมบูรณ์เต็มร้อย ถือเป็นข่าวดีอย่างยิ่งสำหรับแฟนบอลและทีมงานก่อนเกมเยือนที่เบรนท์ฟอร์ด คอมมูนิตี้ สเตเดี้ยม ซึ่งเป็นสนามที่ไม่เคยเป็นงานง่ายสำหรับทีมใหญ่ในพรีเมียร์ลีก เป๊ปกล่าวระหว่างการแถลงข่าวก่อนเกมว่า “ทุกคนพร้อมหมด ไม่มีใครเดี้ยงเลยในตอนนี้ ทุกคนซ้อมได้เต็มรูปแบบ และนั่นเป็นสิ่งที่ผมพอใจมาก เพราะช่วงเวลานี้ของฤดูกาลต้องการความพร้อมที่สุดของทุกคน” คำพูดสั้น ๆ แต่ชัดเจนนี้สร้างความมั่นใจให้กับแฟนบอลซิตี้ทั่วโลก เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา ทีมต้องเผชิญปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บหลายราย โดยเฉพาะในช่วงต้นฤดูกาลที่ผู้เล่นตัวหลักอย่าง เควิน เดอ บรอยน์, แจ็ค กรีลิช และ รูเบน ดิอาส ต้องพักรักษาตัว การที่ตอนนี้ไม่มีนักเตะบาดเจ็บถือเป็นสัญญาณดีในแง่ของความต่อเนื่องของทีม และช่วยให้ เป๊ป สามารถหมุนเวียนผู้เล่นได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

Adidas เปิดตัวลูกฟุตบอลที่จะใช้เตะในเวิลด์ คัพ 2026

ผลิตภัณฑ์กีฬาภายใต้แบรนด์ Adidas  ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของฟีฟ่า ได้เปิดตัวลูกฟุตบอลรุ่น TRIONDA ซึ่งจะถูกใช้เป็นลูกฟุตบอลทางการในศึก ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ 2026 โดยงานเปิดตัวนั้นเป็นจุดหมายสำคัญในแคมเปญการตลาดของอาดิดาสเพื่อสร้างจุดเชื่อมโยงกับแฟนบอลทั่วโลก พร้อมแสดงสมรรถนะด้านเทคโนโลยี ความแม่นยำ และแนวคิดการออกแบบที่ผสานภาพลักษณ์ 3 ชาติเจ้าภาพในทวีปอเมริกาเหนือ ในการเปิดตัวอาดิดาสระบุว่า TRIONDA (อ่านว่า ไทรออนดา) คือ “Official Match Ball” สำหรับการแข่งขันในเวิลด์ คัพ 2026 และตั้งเป้าให้เป็นลูกฟุตบอลที่สมบูรณ์แบบทั้งเรื่องรูปลักษณ์และฟีเจอร์ทางเทคนิค พร้อมรับมือกับการแข่งขันที่มีความเข้มข้นสูง การเปิดตัวนี้ไม่ใช่เพียงการเผยโฉมสินค้า แต่เป็นสัญญาณว่าอาดิดาสจะยืนหยัดในบทบาทผู้ให้บริการลูกบอลหลักของฟีฟ่าอีกหลายปี ภายใต้สัญญาความร่วมมือถึงปี 2030 อาดิดาสอธิบายที่มาของชื่อ TRIONDA ว่าเป็นการผสมคำระหว่าง “Tri” ที่หมายถึงสาม กับคำ “Onda” ที่แปลว่า “คลื่น” ในภาษาสเปน ซึ่งหมายถึงคลื่นลูกคลื่นที่สื่อถึงการรวมตัวของสามเจ้าภาพ —

แกรี่ เนวิลล์ เซอร์ไพรส์ผลงานของโนนี่ มาดูเอเก้ ที่อาร์เซน่อล

เมื่ออดีตกองหลังระดับตำนานของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่าง แกรี่ เนวิลล์ เอ่ยปากยอมรับว่า “เซอร์ไพรส์” กับผลงานของนักเตะรายหนึ่ง นั่นไม่ใช่คำพูดธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึง โนนี่ มาดูเอเก้ (Noni Madueke) ปีกตัวจี๊ดฟุตบอลชาวอังกฤษที่โชว์ฟอร์มเกินความคาดหมายในสีเสื้ออาร์เซน่อล เนวิลล์ขึ้นชื่อว่าเป็นนักวิเคราะห์ที่ตรงไปตรงมา ไม่กลัวที่จะวิจารณ์ หากเขามองว่าผลงานใคร “ดีเกินคาด” นั่นหมายความว่า มาดูเอเก้กำลังสร้างปรากฏการณ์บางอย่างในพรีเมียร์ลีก เส้นทางสู่การเป็นดาวเด่นของมาดูเอเก้ 1. จุดเริ่มต้นในอังกฤษ มาดูเอเก้เติบโตมากับระบบเยาวชนของคริสตัล พาเลซ และท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ก่อนตัดสินใจออกไปหาประสบการณ์ในต่างแดน ซึ่งเป็นการเลือกเส้นทางที่ไม่เหมือนนักเตะอังกฤษส่วนใหญ่ 2. ประสบการณ์ในเนเธอร์แลนด์ เขาย้ายไปยัง พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น และที่นั่นคือเวทีที่เขาได้โอกาสลงสนามต่อเนื่อง กลายเป็นปีกความเร็วสูงที่สร้างปัญหาให้แนวรับลีกดัตช์ด้วยการเลี้ยงกินตัวและการจบสกอร์ที่เฉียบคม 3. การกลับสู่พรีเมียร์ลีก แม้หลายคนจะกังขาว่าเขาจะปรับตัวกับความเข้มข้นของพรีเมียร์ลีกได้หรือไม่ แต่เมื่อได้โอกาสในอาร์เซน่อล มาดูเอเก้กลับแสดงให้เห็นว่าเขาพร้อมสำหรับเวทีที่ใหญ่ที่สุด ความเซอร์ไพรส์ที่แกรี่ เนวิลล์พูดถึง 1.

ฮาแลนด์ : ผู้ทำลายทุกขีดจำกัด ยิงครบ 50 ประตูในพรีเมียร์ลีกเร็วที่สุด

ตั้งแต่ เออร์ลิง ฮาแลนด์ (Erling Haaland) ย้ายมาสู่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เขาก็กลายเป็นศูนย์กลางของการพูดถึงในวงการฟุตบอลทันที การยิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเขา แต่สิ่งที่ทำให้โลกต้องหันมามองอีกครั้งคือการทำสถิติยิงครบ 50 ประตูในบ้านเกมพรีเมียร์ลีกเร็วที่สุด ซึ่งไม่เพียงสร้างความตื่นตะลึงให้แฟนบอล แต่ยังตอกย้ำว่าเขาไม่ใช่แค่กองหน้าธรรมดา แต่คือ “เครื่องจักรถล่มประตู” ที่กำลังเขียนตำนานบทใหม่ให้วงการลูกหนัง ฮาแลนด์กับการเดินทางสู่พรีเมียร์ลีก 1. จากซัลซ์บวร์กสู่ดอร์ทมุนด์ ฮาแลนด์เริ่มต้นสร้างชื่อเสียงกับ เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก ในออสเตรีย ที่นั่นเขาโชว์ฟอร์มถล่มประตูในยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก จนถูกดึงตัวไปยัง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่บุนเดสลีกาเยอรมัน 2. จุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่ ที่ดอร์ทมุนด์ ฮาแลนด์กลายเป็นฝันร้ายของกองหลังในลีกเยอรมัน ด้วยความเร็ว ความแข็งแกร่ง และสัญชาตญาณการจบสกอร์ เขายิงประตูได้แทบทุกเกม จนทำให้สโมสรยักษ์ใหญ่ทั่วยุโรปแย่งชิงตัว 3. การย้ายสู่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ปี 2022

อิสตันบูล ดาร์บี : ศึกแห่งศักดิ์ศรีบนแผ่นดินสองทวีป

อิสตันบูล ดาร์บี และมีหลายดาร์บีที่ถูกยกให้เป็นเกมแห่งศักดิ์ศรี เช่น เอล กลาซิโก้ ของสเปน, ดาร์บี แดงเดือด ของอังกฤษ หรือซูเปอร์คลาซิโก้ ของอาร์เจนตินา แต่หากพูดถึงความดุดัน ความเข้มข้น และบรรยากาศฟุตบอลที่แทบเดือดพล่านตลอด 90 นาที “อิสตันบูล ดาร์บี” ระหว่าง กาลาตาซาราย กับ เฟเนร์บาห์เช่ คือหนึ่งในศึกที่ไม่อาจมองข้าม นี่คือการปะทะที่ไม่ใช่แค่ฟุตบอล แต่สะท้อนถึง วัฒนธรรม, ประวัติศาสตร์ และอัตลักษณ์ของเมืองอิสตันบูล เมืองที่ตั้งอยู่บนสองทวีปทั้งยุโรปและเอเชีย การเจอกันของทั้งสองสโมสรจึงเป็นมากกว่าผลการแข่งขัน แต่คือสงครามทางอารมณ์ของผู้คนทั้งเมือง รากเหง้าและประวัติศาสตร์ จุดกำเนิดของสองสโมสร ทั้งสองทีมถือกำเนิดขึ้นในช่วงที่ตุรกียังอยู่ภายใต้จักรวรรดิออตโตมัน และฟุตบอลเพิ่งเริ่มแพร่หลายในภูมิภาคนี้ การแข่งขันระหว่างทั้งสองทีมจึงไม่ใช่แค่กีฬา แต่กลายเป็นการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ระหว่าง “ฝั่งยุโรป” และ “ฝั่งเอเชีย” ของเมืองอิสตันบูล พัฒนาการสู่ศึกแห่งชาติ นับตั้งแต่ซูเปอร์ลีก ตุรกี

ศึก ซูเปอร์ลีก ตุรกี : เวทีลูกหนังที่เต็มไปด้วยสีสันและความเข้มข้น

ศึก ซูเปอร์ลีก ตุรกี (Turkish Süper Lig) คือหนึ่งในลีกที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากที่สุดในยุโรป แม้จะไม่ได้ถูกยกย่องว่าเป็นลีกระดับ “บิ๊กไฟว์” เหมือนอังกฤษ สเปน เยอรมนี อิตาลี หรือฝรั่งเศส แต่ก็มีความเข้มข้น ความดุดัน และบรรยากาศที่ไม่แพ้กัน ฟุตบอลในตุรกีไม่ใช่เพียงเกมกีฬา แต่เป็น วัฒนธรรม ที่หยั่งรากลึกในสังคม ชีวิตแฟนบอลผูกพันกับสโมสรจนถึงขั้นเป็นส่วนหนึ่งของตัวตน สำหรับแฟนบอลทั่วโลก ลีกแห่งนี้อาจถูกมองว่าเป็น “ทางเลือก” แต่สำหรับคนตุรกี นี่คือศูนย์กลางของความหลงใหลในฟุตบอลที่แท้จริง ประวัติศาสตร์และรากฐานของลีก ซูเปอร์ลีกเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในปี 1959 โดยมีเป้าหมายเพื่อรวมการแข่งขันจากลีกภูมิภาคต่าง ๆ ของตุรกีเข้ามาไว้ด้วยกัน ก่อนหน้านั้นแต่ละเมืองมีลีกของตัวเอง เช่น อิสตันบูล ลีก หรืออังการา ลีก การก่อตั้งซูเปอร์ลีกจึงถือเป็นการสร้างเวทีระดับชาติอย่างแท้จริง ในช่วงเริ่มแรก ทีมจากอิสตันบูลครองความยิ่งใหญ่ ทั้งกาลาตาซาราย เฟเนร์บาห์เช่ และเบซิคตัส